ทำไม ธุรกิจถึงควร โฟกัสที่ ROI มากกว่า ROAS ?
ทำไม ธุรกิจถึงควร โฟกัสที่ ROI มากกว่า ROAS ? หลายท่านที่ยิงโฆษณาบน Facebook คงคุ้นเคยกันดีกับตัวชี้วัดอย่าง ยอดอิมเพรสชั่น การมีส่วนร่วม ยอดการรับชมวิดีโออัตราการคลิก หรือต้นทุนต่อผลลัพธ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากเงินที่เราลงโฆษณาไปแต่สุดทางแล้ว คำตอบสุดท้ายจริง ๆ ที่เราอยากรู้ก็คือ เงินค่าโฆษณาเราลงทุนไป มันสร้างรายรับ/กำไร ให้เรามากน้อยแค่ไหน จริงไหมคะ ? ซึ่งเราอาจต้องคำนวณตัวชี้วัดอย่าง ROAS และ ROI ขึ้นมาดู ถึงจะพอให้คำตอบเราได้ เพราะมันเป็นตัวชี้วัดที่เกี่ยวเนื่องกับผลลัพธ์สุดท้าโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ในโหมดของการทำธุรกิจ ตัวชี้วัดที่เราควรให้ความสำคัญจริงๆ ควรที่จะเป็น ROI มากกว่า ซึ่งจะเป็นเพราะอะไรนั้น KTn สรุปให้ฟังในตอนท้าย แต่เบื้องต้น เราไปทำความรู้จักตัวชี้วัดแต่ละตัวกันก่อนค่ะ
ROAS คืออะไร?
ROAS ย่อมาจาก Return on Advertising Spend ความหมายก็ตรงตัวเลยค่ะ คือ “รายรับที่ได้จากเงินที่เราใช้ในการโฆษณา” โดยสูตรการคำนวณก็ง่ายมาก ๆ
ROAS = (รายรับที่ได้จากการโฆษณา/รายจ่ายที่เราใช้ในการโฆษณา) x 100
สมมติว่าคุณรันแคมเปญโฆษณาบน Facebook แคมเปญนึง เป็นระยะเวลา 7 วัน แล้วมันสร้างรายรับให้คุณ 50,000 บาท โดยคุณจ่ายค่าโฆษณาไปทั้งหมด 10,000 บาท
ROAS ของโฆษณาแคมเปญนี้จะเท่ากับ (50,000/10,000) x 100 = 500% หรือ 5 เท่า
แปลว่าทุก ๆ 100 บาท ที่คุณใช้ลงโฆษณาในแคมเปญนี้ จะสร้างรายรับให้คุณกลับมา 500 บาท เป็นต้น
ROI คืออะไร?
ROI ย่อมาจาก Return on Investment หมายถึง อัตราผลกำไรที่เราได้จากต้นทุนทั้งหมดที่ลงทุนไป คำนวณได้จาก
ROI = (กำไรสุทธิ/ต้นทุนทั้งหมด) x 100
ซึ่งต้นทุนที่เรานำมาใช้คำนวณ ROI นั้น ต้องเป็นต้นทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งรวมไปถึง ต้นทุนการผลิต ค่าแรง ค่าขนส่ง ค่าโฆษณา ฯลฯ สมมติเราใช้ตัวอย่างเดิมจากด้านบนรายรับที่ได้จากการรันโฆษณา = 50,000 บาท
ต้นทุนค่าโฆษณา = 10,000 บาท
ต้นทุนในการผลิตสินค้า และต้นทุนอื่นๆ = 30,000 บาท
กำไรสุทธิ = รายรับทั้งหมด – ต้นทุนทั้งหมด
= 50,000 – (10,000+30,000) = 10,000 บาท
ROI = (10,000/40,000) x 100 = 25%
แปลว่าทุกๆ 100 บาทที่เราลงทุนไป จะได้กำไรกลับมา 25 บาท นั่นเอง
ทำไมธุรกิจควรโฟกัสที่ ROI มากกว่า ROAS?
เพราะในบางครั้ง ROAS อาจเป็นแค่ภาพลวงตา ให้เรามองว่า ผลลัพธ์ที่ได้จากการโฆษณานั้นดูดีเกินความจริง จากเหตุผล 2 ประการ คือ
ROAS คำนวณจากแค่ รายรับ ไม่ใช่ ผลกำไร
ROAS คำนวณจากแค่ ต้นทุนในการทำโฆษณา ไม่ใช่ ต้นทุนทั้งหมด
ซึ่งอาจส่งผลให้การประเมินผลลัพธ์บิดเบือนไปจากความเป็นจริงพูดแบบนี้อาจจะยังไม่เห็นภาพผมขอยกตัวอย่างข้างต้นขึ้นมาให้ดูอีกครั้งโดยขอเปลี่ยนต้นทุนในการผลิตสินค้า และต้นทุนอื่น ๆ จาก 30,000 บาท ให้กลายเป็น 50,000 บาท
ROAS จะเท่ากับ (50,000/10,000) x 100 = 500% (เท่าเดิม)
ในขณะที่
ROI = (-10,000/60,000) x 100 = -16.7% (ขาดทุน)
จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า ถ้าเราพิจารณาแค่ ROAS ผลลัพธ์จะดูสวยงามหรูหราพอสมควร แต่ถ้ามาดูที่ ROI หรือผลกำไรที่กลับมายังธุรกิจจริงๆ ปรากฏว่า เราขาดทุน
โดยสรุปคือ ROI เป็นตัวชี้วัดที่ธุรกิจควรเอาไว้ใช้ดูประสิทธิภาพของการลงทุนในระดับภาพรวม
ในขณะที่ ROAS เป็นตัวชี้วัดที่เราเอาไว้ดูว่า แคมเปญโฆษณาแต่ละตัวมันเวิร์คไม่เวิร์ค ซึ่งให้มุมมองที่เฉพาะเจาะจงกว่า
ซึ่งเราอาจพิจารณา ROAS ของแต่ละแคมเปญได้ แต่สุดท้ายแล้วต้องดูด้วยว่า โดยรวมมันให้ ROI ที่คุ้มค่าแก่การลงทุนหรือไม่
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับสาระที่ทางแอดมินนำมาฝากกัน หากนักธุรกิจท่านใดมีปัญหาด้านการทำการตลาดออนไลน์ต้องการผู้ช่วย ผู้ดูแล หรือสนใจทำธุรกิจบนตลาดออนไลน์เรามีทีมงานมากประสบการณ์พร้อมให้คำปรึกษาด้านการดูแลเว็บไซต์หรือโปรโมทเว็บไซต์ทาง KTn develop เรายินดีให้บริการ การันตีผลลัพธ์และเห็นผลแน่นอน อยากเพิ่มยอดขายจากช่องทางออนไลน์
สนใจออกแบบดูแลโปรโมทเว็บไซต์หรือปรึกษาเรื่องการออกแบบสามารถติดต่อมาได้ที่
Tel : 02-9504253
Phone : 062-424-1394
Email : INFO@KTNDEVELOP.COM
Facebook : KTn develop
Line OA : @KTNDEVELOP